ในการใช้งานในระบบที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น เครื่องจักรอุตสาหกรรม ปั๊ม วาล์ว หรือระบบซีลต่าง ๆ โอริง ถือเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่ช่วยป้องกันการรั่วซึม และยืดอายุการทำงานของอุปกรณ์ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า… โอริงไม่ได้มีเพียงแค่ขนาดมาตรฐานทั่วไปเท่านั้น
ในหลายอุตสาหกรรม มีการเลือกใช้ “โอริงแบบสั่งทำพิเศษ (Custom-Made O-Ring)” ที่ออกแบบมาเฉพาะเจาะจงกับการใช้งาน เพื่อให้ตอบโจทย์ทั้งด้านประสิทธิภาพและความทนทานสูงสุด แล้วโอริงสั่งทำพิเศษต่างจากโอริงทั่วไปอย่างไร? มาดูคำตอบกันเลย
โอริงคืออะไร?
โอริง (O-Ring) คือ ซีลยางรูปวงแหวนที่มีหน้าตัดเป็นทรงกลม ผลิตจากวัสดุต่าง ๆ เช่น ยางไนไตรล์ (NBR), ซิลิโคน (VMQ), ฟลูออโรคาร์บอน (FKM) และอื่น ๆ ตามคุณสมบัติที่ต้องการ
หน้าที่หลักของโอริง:
- ป้องกันการรั่วซึมของของเหลว แก๊ส หรือแรงดันในระบบ
- รองรับแรงดันภายใน และช่วยให้ระบบทำงานได้อย่างราบรื่น
- ลดแรงเสียดทาน ยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์
- ป้องกันสิ่งสกปรก ฝุ่นละออง และการกัดกร่อน
ประเภทของโอริง
โอริงสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่:
1. โอริงทั่วไป (Standard O-Ring)
ผลิตตามมาตรฐานสากล เช่น AS568 (USA), JIS B2401 (ญี่ปุ่น), BS (อังกฤษ) เหมาะสำหรับงานทั่วไปที่ไม่ซับซ้อน หาซื้อได้ง่าย ราคาประหยัด
2. โอริงสั่งทำพิเศษ (Custom-Made O-Ring)
ออกแบบและผลิตตามสเปคเฉพาะ เช่น ขนาด วัสดุ รูปร่าง หรือคุณสมบัติพิเศษ เพื่อรองรับสภาพการทำงานเฉพาะด้าน เช่น อุณหภูมิสูง ความดันสูง หรือสารเคมีรุนแรง
ความแตกต่างระหว่าง “โอริงทั่วไป” กับ “โอริงสั่งทำพิเศษ”
ตัวอย่างการใช้งาน
- โอริงทั่วไป: ปั๊มลม, วาล์ว, ก็อกน้ำ, เครื่องกรองน้ำ
- โอริงสั่งทำพิเศษ: เครื่องจักรโรงงานเคมี, ระบบเชื้อเพลิงแรงดันสูง, เครื่องชงกาแฟที่สัมผัสสารเคมี, ซีลในอุณหภูมิสูง/ต่ำจัด
เลือกโอริงให้เหมาะกับงานคุณอย่างไร?
✅ ถ้าเป็นงานทั่วไป ที่ไม่ต้องการความทนทานสูงมาก เลือกใช้โอริงมาตรฐาน จะช่วยประหยัดงบประมาณและเปลี่ยนง่าย
✅ ถ้าเป็นงานเฉพาะทาง เช่น อุตสาหกรรมอาหาร, การแพทย์, ปิโตรเคมี, หรือการใช้งานที่มีความดันหรืออุณหภูมิสูง ควรเลือกโอริงแบบสั่งทำพิเศษ เพื่อความปลอดภัย และยืดอายุการใช้งาน