การปรับเปลี่ยนจากรถดีเซลสู่รถไฟฟ้า (EV) : ก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมสู่การลดคาร์บอนและสร้างโอกาสคาร์บอนเครดิต
ในยุคที่โลกให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก “คาร์บอนฟุตพริ้นท์” ได้กลายเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญของความยั่งยืนในภาคอุตสาหกรรม การปรับเปลี่ยนยานพาหนะจาก รถดีเซลสู่รถไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนเครื่องยนต์เท่านั้น แต่คือการเปลี่ยนแนวคิดและทิศทางการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ทำไม “รถไฟฟ้า” ถึงช่วยลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมได้
- ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการขนส่ง
รถดีเซล 1 คันปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์โดยเฉลี่ยกว่า 2.6 กิโลกรัมต่อการใช้น้ำมันดีเซล 1 ลิตร ในขณะที่รถไฟฟ้าไม่มีการปล่อยไอเสียโดยตรง ทำให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ทันทีในระดับ “Scope 1” ขององค์กร - เสริมประสิทธิภาพด้านพลังงาน
รถ EV ใช้พลังงานได้มีประสิทธิภาพกว่ารถสันดาปราว 3 เท่า และยังสามารถชาร์จจากพลังงานหมุนเวียน (เช่น พลังงานแสงอาทิตย์) ซึ่งช่วยลดคาร์บอนในห่วงโซ่พลังงาน (Scope 2) ได้อีกขั้น
- ลดต้นทุนระยะยาว และเสริมภาพลักษณ์องค์กรสีเขียว
แม้ต้นทุนเริ่มต้นของรถ EV จะสูงกว่า แต่ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและพลังงานไฟฟ้าต่อกิโลเมตรต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของ “องค์กรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” ซึ่งเป็นปัจจัยที่ลูกค้าและคู่ค้าในระดับสากลให้ความสำคัญมากขึ้น
เชื่อมโยงสู่ “คาร์บอนเครดิต” และการบริหารจัดการคาร์บอนในอุตสาหกรรม
เมื่อองค์กรเริ่มปรับเปลี่ยนการขนส่งเป็นรถ EV ปริมาณการปล่อยคาร์บอนที่ลดลงสามารถนำมาคำนวณเป็น คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ได้ ซึ่งคาร์บอนเครดิตเหล่านี้สามารถนำไปใช้ในหลายรูปแบบ เช่น
- ใช้ ชดเชยการปล่อยคาร์บอน (Carbon Offset) ของกระบวนการผลิตอื่นภายในโรงงาน
- นำไป ขายในตลาดคาร์บอน (Carbon Market) เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติม
- ใช้เป็นหลักฐานประกอบรายงาน ESG / CSR / Carbon Footprint of Organization (CFO) ซึ่งช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือและโอกาสในการเข้าร่วมโครงการระดับประเทศหรือต่างประเทศ
หน่วยงานอย่าง องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ของประเทศไทย ยังมีแนวทางสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมปรับใช้เทคโนโลยีสะอาด รวมถึงระบบยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเป้าหมาย “Net Zero Emission” ของประเทศภายในปี 2065
แนวทางเตรียมความพร้อมขององค์กร
แม้การเปลี่ยนรถทั้งหมดอาจยังไม่เกิดขึ้นในทันที แต่อุตสาหกรรมสามารถเริ่มได้จากการ “วางรากฐานที่ถูกต้อง” เช่น
- เก็บข้อมูลการใช้งานรถปัจจุบัน เช่น ระยะทางเฉลี่ยต่อเดือน ปริมาณน้ำมันที่ใช้ และการปล่อยคาร์บอนจากการขนส่ง
- วิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ (TCO) เพื่อประเมินต้นทุนรวมตลอดอายุการใช้งาน
- เริ่มใช้รถ EV ในเส้นทางขนส่งระยะสั้น หรือในเขตเมือง เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในพื้นที่หนาแน่น
- พิจารณาโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จไฟฟ้า ทั้งในโรงงานและจุดขนส่ง
- จัดทำรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (CFO) เพื่อรองรับการรับรองและขอคาร์บอนเครดิตในอนาคต
สู่อนาคตที่ยั่งยืน – มากกว่าการเปลี่ยนรถ คือการเปลี่ยนแนวคิด
การปรับจากรถดีเซลสู่รถไฟฟ้า ไม่ได้เป็นเพียงการลงทุนด้านเทคโนโลยี แต่คือการลงทุนเพื่ออนาคตของสิ่งแวดล้อม องค์กรที่เริ่มต้นก้าวนี้ก่อน จะได้เปรียบทั้งในด้าน ต้นทุนพลังงาน ภาพลักษณ์ และโอกาสทางธุรกิจจากระบบคาร์บอนเครดิต ซึ่งกำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมโลก “ทุกกิโลเมตรที่ขับด้วยไฟฟ้า คืออีกหนึ่งก้าวสู่โลกที่สะอาดและยั่งยืนกว่าเดิม”
